ข้อมูลจาก 100 วัตต์ เล่มที่ 68 พ.ศ 2543)
คำถาม :: Dipole (ไดโพล) กับ Folded Dipole (โฟลเด็ดไดโพล) มันต่างกันอย่างไร
คำตอบ :: ได (Di) แปลว่า 2 ส่วน โพล (Pole) แปลว่าขั้ว สายอากาศ 2 ขั้ว เป็นสายอากาศพื้นฐานที่ทำได้ง่ายที่สุด
รูปที่ 1 สายอากาศไดโพล (Dipole Antenna)
ต่อมาก็ดัดแปลงมันนิดหน่อยเอาโลหะอีกเส้นมาวางขนานแล้วเชื่อมหัวท้ายเพื่อบีบรูปแบบการแพร่กระจายคลื่นของมันให้แบนลง ทำให้ได้อัตราการขยายที่สูงขึ้นรูปร่างของมันก็จะเหมือนกับการต่อความยาวของสายอากาศไดโพลแล้วพับลงมา (รูปที่ 2) คำว่าโพลเด็ด Folded แปลว่าพับแล้ว พวกที่เป็นห่วง ๆ นั่นแหละ โพลเด็ดไดโพล ยังป้อนสัญญาณวิทยุตรงกลางต้นอยู่
และถ้ามีการดัดแปลงให้ป้อนสัญญาณเข้าที่ปลายสายอากาศแบบไดโพล ซึ่งสามารถบีบรูปแบบการแพร่กระจายคลื่นให้แบนได้มากขึ้น ได้อัตราการขยายมากขึ้น แต่ค่า SWR ก็สูงขึ้นด้วย จึงมีการทำตัวปรับค่า SWR เป็นรูปตัว U เอาขาข้างหนึ่งต่อกับสายอากาศไดโพล กลายเป็นรูปตัว J เรียกว่าเจโพล (รูปที่ 3)
ดัดแปลงเจ้า J ต่ออีกหน่อย วางโลหะอีกเส้นให้ขนานกันคล้าย ๆ โพลเด็ดไดโพล เรียกว่า J intigrated match หรือ JIM เป็น JIM เพรียว ๆ เลยเรียกว่า สลิมจิม (รูปที่4) คนที่ออกแบบ สลิมจิมชื่อ F.C. Judd
รวมเรื่องราวเกี่ยวกับวิทยุสมัครเล่น การทดลองวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งเรื่อง เครื่องรับ เครื่องส่ง ระบบสายอากาศ การแพร่กระจายคลื่น สายนำสัญญาณ การตรวจซ่อมอุปกรณ์ทั่วไป รูปแบบการติดต่อสื่อสาร ฯลฯ ## hs8jyx สอบผ่านวิทยุสมัครเล่นขั้นต้น 2539 ขั้นกลาง 2543 US Ham 2553 (ag6bd Extra Class) ## https://www.facebook.com/ag6bd วรวุฒิ ศรีทอง Line ID :: hs8jyx
วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
ทำไมเอาสายอากาศไดโพลไว้ข้างเสา เอา V2 ไว้ด้านบน
คำถาม :: เห็นใคร ๆ ก็ติดสายอากาศไดโพล 4 ห่วง 8 ห่วง ไว้ข้าง ๆ Tower แล้วเอาพวก V2 หรือ 5/8 Lambda ไว้ด้านบนยอดเพราะอะไร เปลี่ยนกันได้มั้ย?
ตอบ :: พวกสายอากาศ V2 ก็คือสา่ยอากาศ 5/8 Lambda ชนิดหนึ่ง (V2 เป็นชื่อทางการค้า) เป็นสายอากาศแบบรอบตัว ถ้าเอาไปไว้ข้าง ตัว Tower เป็นโลหะ จะมีผลกระทบต่อคุณสมบัติของสายอากาศต้นนั้นอย่างมาก
ส่วนสายอากาศ Folded Dipole (ต้องเรียกว่า Folded Dipole ไม่ใ่ช่ Dipole เฉย ๆ ) เป็นสายอากาศกึ่งรอบตัว ถูกออกแบบมาให้ตัวเสาอากาศเป็นส่วนหนึ่งของสายอากาศอยู่แล้ว คือทำหน้าที่เป็นตัวสะท้อนสัญญาณ เมื่อติดตั้งเข้าด้านข้าง Tower ในระยะห่างที่เหมาะสมก็ไม่เสีียหายอะไร
อีกอย่างหนึ่งมันหนักจะตาย ขืนเอาไปชูโด่เด่ไว้ เจอลมแรง ๆ เข้าเกิดโค่นลงมาบาดเจ็บล้มตาย สถานีเสียหาย ไม่คุ้มหรอกครับ
ข้อมูลจาก 100 วัตต์ เล่มที่ 68 พ.ศ 2543)
ตอบ :: พวกสายอากาศ V2 ก็คือสา่ยอากาศ 5/8 Lambda ชนิดหนึ่ง (V2 เป็นชื่อทางการค้า) เป็นสายอากาศแบบรอบตัว ถ้าเอาไปไว้ข้าง ตัว Tower เป็นโลหะ จะมีผลกระทบต่อคุณสมบัติของสายอากาศต้นนั้นอย่างมาก
ส่วนสายอากาศ Folded Dipole (ต้องเรียกว่า Folded Dipole ไม่ใ่ช่ Dipole เฉย ๆ ) เป็นสายอากาศกึ่งรอบตัว ถูกออกแบบมาให้ตัวเสาอากาศเป็นส่วนหนึ่งของสายอากาศอยู่แล้ว คือทำหน้าที่เป็นตัวสะท้อนสัญญาณ เมื่อติดตั้งเข้าด้านข้าง Tower ในระยะห่างที่เหมาะสมก็ไม่เสีียหายอะไร
อีกอย่างหนึ่งมันหนักจะตาย ขืนเอาไปชูโด่เด่ไว้ เจอลมแรง ๆ เข้าเกิดโค่นลงมาบาดเจ็บล้มตาย สถานีเสียหาย ไม่คุ้มหรอกครับ
ข้อมูลจาก 100 วัตต์ เล่มที่ 68 พ.ศ 2543)
หัวกลม กันฟ้า ของสายอากาศไดโพล
คำถาม :: เพื่อนบอกว่า การที่สามอากาศแบบไดโพลเป็นสายอากาศแบบกันฟ้าผ่าได้ เพราะมีหัวจุกกลม ๆ ปลายแหลมอยู่บนยอด พอฟ้าผ่าลงมามันก็เลยเฉลบออกไปนอกเสา ทำให้ฟ้าไม่ลงเครื่อง จริงหรือเปล่าครับ
ตอบ :: คำว่าฟ้าผ่า มันไม่ใช่ว่าฟ้าผ่าแบบมีดอีโต้ผ่าลงมาบนยอดเสา ถึงจะมาแฉลบได้เวลาผ่ามาโดนอะไรกลม ๆ เข้า แต่ฟ้าผ่าคือประจุไฟฟ้าในอากาศจำนวนมหาศาล มีพลังงานไฟฟ้า และแรงดันสูงมาก ที่กำลังวิ่งสู่พื้นดินด้วยความเร็ว 300 ล้านเมตรต่อวินาที
ขึ้นชื่อว่าไฟฟ้าก็วิ่งผ่านตัวนำ เช่น อากาศเป็นตัวนำไม่ดีนัก ถ้ากระแสไฟฟ้าจากฟ้าผ่าเจอตัวนำที่สามารถนำไฟฟ้าได้ดีกว่า มันก็จะวิ่งผ่านตัวนำนั้นเพื่อให้ไปถึงพื้นดินซึ่งเป็นจุดหมายของมันให้เร็วที่สุด ก็เหมือนกับขับรถบนถนนลูกรัง พอมาเจอถนนราดยาง เราย่อมรีบขึ้นวิ่งบนถนนราดยาง
สายอากาศทุกต้นทำด้วยสายโลหะตัวนำไฟฟ้าทั้งนั้น และไฟฟ้าก็ไหลได้ไม่ว่าตัวนำนั้นจะเป็นลูกกลม ๆ เหลี่ยม ๆ เห็นเป็นเส้นยาว ๆ ทั้งเสาและสายอากาศแบบโพลเด็ดไดโพล (Folded Dipole) ล้วนทำด้วยโลหะ ที่ว่าฟ้าผ่าจะกระเด็นตีลังกาหลุดออกจากเสาโลหะย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
แต่ ... สายอากาศแบบ Folded Dipole นั้นตัวสายอากาศนั้นจะมีส่วนที่เป็นกราว์ดโลหะ เชื่อมติดกับตัวเสา เรียกว่า DC - Ground เมื่อมีกระแสไฟฟ้าวิ่งบนผิวของสายอากาศ เนื่องจากประจุไฟฟ้าในอากาศ ถ้ามันไม่มากนัก
รูปสายอากาศแบบ DC Ground
ก็จะถ่ายเทลงดินไป ทำให้เหลือมาถึงวิทยุสื่อสารได้น้อยกว่าสายอากาศประเภท V2 หรือ 5/8 lambda ซึ่งเป็น AC -Ground (ข้อความจากเอกสาร ในความเป็นจริง แล้วแต่การออกแบบ ส่วนมากจะพยายามออกแบบให้เป็น DC - Ground อยู่แล้ว) แต่ถ้าฟ้าผ่าลงมาตรง ๆ ได้รับประจุมากมายขนาดนั้น DC - Ground ก็ไม่เหลือครับ
ข้อมูลจาก 100 วัตต์ เล่มที่ 68 พ.ศ 2543)
เฟด Fade ลง (Fade-in Fade-out)
คำถาม :: ได้ยินเพื่อนสมาชิกบ่นบ่อย ๆ ว่าตอนนี้เฟดลงลงสายอากาศ ทำให้รับไม่ได้ ผมอยากทราบว่าอาการเฟดลงที่สายอากาศเกิดจากอะไร ?
ตอบ :: คำว่า "เฟดลง" จริง ๆ แล้วไม่มี และเป็นไปไม่ได้ เป็นคำที่เกิดขึ้นจากความเข้าใจผิด แต่มันเห็นภาพได้ชัดดี ก็เลยก็เลยกลายเป็นที่นิยมของคนใช้วิทยุสื่อสารไป
เฟด - Fade คืออาการจางลง ๆ จนหายไปในที่สุดอันนี้เรียก Fade Out และถ้าจากจาง ๆ ค่อย ๆ ชัดขึ้นอันนี้เรียก Fade In ในการติดต่อสื่อสารด้วยคลื่นวิทยุซึ่งจต้องเดินทางผ่านชั้นบรรยากาศเป็นระยะทางไกล ๆ บางครั้ง เมื่อลักษณะอากาศเปลี่ยน สัญญาณที่รับได้ก็มีอากาศ Fade-in Fade - out คือรับได้บ้างไม่ได้บ้าง ไม่ได้มีเจ้าเฟดตัวไหนมาลง
ข้อมูลจาก 100 วัตต์ เล่มที่ 68 พ.ศ 2543)
วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
ข้อดีของทรานซิสเตอร์เมื่อเทียบกับหลอดสูญญากาศ
ทรานซิสเตอร์ทั้ง 2 ชนิด (NPN และ PNP) เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่อิเล้กทรอนิกส์ประเภทที่ทำจากสารกึ่งตัวนำ (Semiconductor) เหมือนกับไดโอด (Diode) เพราะฉนั้น กล่าวโดยสรุปจึงมีคุณสมบัติที่ดีเด่นกว่าหลอดสูญญากาศหลายประการเช่น
- มีขนาดเล็กกว่า สามารถบรรจุลงในที่แคบ ๆ ได้
- มีน้ำหนักเบา ตกไม่แตก จึงทำให้ทนต่อการสั่นสะเทือน และกระแทกแรง ๆ ได้
- ใช้งานได้กับแรงดันไฟฟ้าขนาดต่าง ๆ เช่น 3 โวลต์ เป็นอย่างต่ำ และ 70 โวลต์เป็นอย่างสูง
- ไม่ต้อง Warm Up หรือ อุ่นเครื่อง เพราะทรานซิสเตอร์ไม่มีการจุดไส้หลอดเหมือนหลอดสูญญากาศ เมื่อเปิดสวิช สามารถใช้งานได้ทันที
- มีอายุการใช้งานได้นาน สามารถใช้ได้เป็นสิบ ๆ ปี โดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด
- กินไฟน้อย แต่มีประสิทธิภาพดี และยังมีความเชื่อถือได้สูง หมายถึงไว้ใจได้ในการใช้งาน
- ไม่ค่อยมีเสียงรบกวน เช่นเสียงฮัม (Hum) เหมือนหลอดสูญญากาศ
- ไม่สามารถใช้กับแรงดันไฟสูง ๆ ได้ จะต้องมีการปรับแรงดันไฟให้เหมาะสม
- ไม่สามารถใช้กับกำลังไฟฟ้าที่สูง ๆ ได้
- เสถียรภาพไม่ดีเมื่อทำงานกับความร้อน ถ้าร้อนมาก ๆ จะใช้งานไม่ได้ ฉะนั้น จึงต้องมีการระบายความร้อนเสมอ
ความหมายของเบอร์ทรานซิสเตอร์ 2SA 2S 2SC 2SD
หลอด Beam tetrode
บทความ ต่อไปนี้มาจาก "หนังสือคู่มือนักวิทยุสมัคร เพื่อไปสอบ พนักงานวิทยุสมัครเล่นขั้นกลาง " แก้ไขบางส่วนเพื่อความถูกต้องโดย HS8JYX
หลักการของหลอด Beam tetrode ไม่เหมือนกับหลอด tetrode คืออิเล็กตรอนจากแคโถดจะถูกปรับเป็นโพกัส คล้ายลำแสง
พุ่งตรงไปยังแอโนด โดยคอนโทรลกริดและสกรีนกริดที่พันอยู่บนแกน จำนวนรอบของแต่ละกริด ทำหน้าที่คล้ายกระจกคอยปรับแต่งโฟกัสของลำอิเล็กตรอน
ภาพภายในหลอด beam tetrode (ภาพประกอบจาก wikipedia)
หน้าที่ของคอนโทรลกริดและสกรีนกริด ที่ขดพันอยู่บนแกนนั้น เพื่อลดกระแสสกรีนเมื่อเปรียบเทียบกับหลอด Tetrode ที่ไม่ใช่หลอดที่มีโครงสร้างแบบบีม พบว่าหลอด Tetrode ที่ไม่มีโครงสร้างแบบบีมจะมีกระแสแอโนดเพียง 5-10 % ของกระแสแอโนดเท่านั้น แผ่น Beam Plate 2 แผ่น มีหน้าที่จำกัดการปล่อยอิเล็กตรอนประเภท Secondary Emission ที่กล่าวถึงมาในตอนต้นเสมือนหนึ่งการชีลด์แอโนด ให้พ้นจากการวิ่งชนของอิเล็กตรอน ที่มาจากการแพร่ออกจากเส้นลวดที่นำมาสร้างเป็นกริด ณ จุดโพกัส ของอิเล้กตรอนเป็นไปอย่างสมบูรณ์ แผ่นบีมเพลต ทั้งสองเรียกว่า Beam Confining หรือ Beam Forming Plates
หลักการของหลอด Beam tetrode ไม่เหมือนกับหลอด tetrode คืออิเล็กตรอนจากแคโถดจะถูกปรับเป็นโพกัส คล้ายลำแสง
พุ่งตรงไปยังแอโนด โดยคอนโทรลกริดและสกรีนกริดที่พันอยู่บนแกน จำนวนรอบของแต่ละกริด ทำหน้าที่คล้ายกระจกคอยปรับแต่งโฟกัสของลำอิเล็กตรอน
ภาพภายในหลอด beam tetrode (ภาพประกอบจาก wikipedia)
หน้าที่ของคอนโทรลกริดและสกรีนกริด ที่ขดพันอยู่บนแกนนั้น เพื่อลดกระแสสกรีนเมื่อเปรียบเทียบกับหลอด Tetrode ที่ไม่ใช่หลอดที่มีโครงสร้างแบบบีม พบว่าหลอด Tetrode ที่ไม่มีโครงสร้างแบบบีมจะมีกระแสแอโนดเพียง 5-10 % ของกระแสแอโนดเท่านั้น แผ่น Beam Plate 2 แผ่น มีหน้าที่จำกัดการปล่อยอิเล็กตรอนประเภท Secondary Emission ที่กล่าวถึงมาในตอนต้นเสมือนหนึ่งการชีลด์แอโนด ให้พ้นจากการวิ่งชนของอิเล็กตรอน ที่มาจากการแพร่ออกจากเส้นลวดที่นำมาสร้างเป็นกริด ณ จุดโพกัส ของอิเล้กตรอนเป็นไปอย่างสมบูรณ์ แผ่นบีมเพลต ทั้งสองเรียกว่า Beam Confining หรือ Beam Forming Plates
หลอด Pentode (5 ขั้ว)
บทความ ต่อไปนี้มาจาก "หนังสือคู่มือนักวิทยุสมัคร เพื่อไปสอบ พนักงานวิทยุสมัครเล่นขั้นกลาง " แก้ไขบางส่วนเพื่อความถูกต้องโดย HS8JYX
เนื่องจากเกิดปัญหาการปล่อยอิเล็กตรอนที่เกิดขึ้นในลักษณะ Secondary Emission ในหลอด Tetrode การแก้ปัญหาจึงแก้ด้วยการเพิ่มกริดหมายเลข 3 (suppress secondary emission) เข้าไประหว่างสกรีนกริดและแอโนด โดยกำหนดให้ทำหน้าที่ด้วยศักดาไฟฟ้าต่ำที่เชื่อมอยู่กับแคโถด
การปล่อยอิเล็กตรอนของแอโนด หรือ Secondary Emission จะติดตามมาด้วยการสวิงของแรงดันแอโนด ซึ่งเชื่อได้ว่าสูงมากยิ่งขึ้น
กริดหมายเลข 3 เรียกว่า ซัปเปรสเซอร์กริด (Suppressor Grid)
หลอด Pentode ที่ใช้งานพิเศษบางแบบจะมีกริดหมายเลข 1 หรือ คอนโทรลกริด 2 อัน กริดหมายเลข 3 จะทำหน้าที่เป็นกริดที่ 2 ซึ่งมีความมไวในการควบคุมต่ำกว่าเสมือนเป็นช่องทางผ่าน ในกรณีที่ใช้หลอดทำหน้าที่ ผสมคลื่น หรือ Modulation หรือ Mixing การใช้งานพิเศษแบบนี้ต้องมีความสัมพันธ์ของอัตรากระแสสกรีนกริดสูง (กริดหมายเลข 2) เพื่อให้กระแสแอโนดถูกตัดโดย Suppressor Grid ได้
เนื่องจากเกิดปัญหาการปล่อยอิเล็กตรอนที่เกิดขึ้นในลักษณะ Secondary Emission ในหลอด Tetrode การแก้ปัญหาจึงแก้ด้วยการเพิ่มกริดหมายเลข 3 (suppress secondary emission) เข้าไประหว่างสกรีนกริดและแอโนด โดยกำหนดให้ทำหน้าที่ด้วยศักดาไฟฟ้าต่ำที่เชื่อมอยู่กับแคโถด
การปล่อยอิเล็กตรอนของแอโนด หรือ Secondary Emission จะติดตามมาด้วยการสวิงของแรงดันแอโนด ซึ่งเชื่อได้ว่าสูงมากยิ่งขึ้น
กริดหมายเลข 3 เรียกว่า ซัปเปรสเซอร์กริด (Suppressor Grid)
หลอด Pentode ที่ใช้งานพิเศษบางแบบจะมีกริดหมายเลข 1 หรือ คอนโทรลกริด 2 อัน กริดหมายเลข 3 จะทำหน้าที่เป็นกริดที่ 2 ซึ่งมีความมไวในการควบคุมต่ำกว่าเสมือนเป็นช่องทางผ่าน ในกรณีที่ใช้หลอดทำหน้าที่ ผสมคลื่น หรือ Modulation หรือ Mixing การใช้งานพิเศษแบบนี้ต้องมีความสัมพันธ์ของอัตรากระแสสกรีนกริดสูง (กริดหมายเลข 2) เพื่อให้กระแสแอโนดถูกตัดโดย Suppressor Grid ได้
วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
หลอดสูญญากาศที่ขึ้นต้นด้วย 3CX, 4CX และ 5CX
หลอดสูญญากาศที่ขึ้นต้นด้วย 3CX และ 4CX
ตัวแรกจะบอกถึงชนิดของหลอด
4CX8000A
3CX1500A
5CX 3000A
4CV50,000E (ระบายความร้อนด้วยไอน้ำ (Vapor cooling))
ตัวอักษร C หมายถึงโครงสร้างเป็น Ceramic/metal
ตัวอักษร X หมายถึงการระบายความร้อนด้วยอากาศ ตัว W หมายถึงระบายความร้อนด้วยน้ำ (Water)
ตัวอักษร V หมายถึงการระบายความร้อนด้วยไอน้ำ (Vapor cooling)
ตัวเลขด้านหลังเป็นจำนวนวัตต์ เช่นหลอด 4CX250 เป็นหลอด Tetrode แบบ Ceramic ระบายความร้อนด้วยอากาศ ขนาด 250 วัตต์
4CW10,000A (ระบายความร้อนด้วยน้ำ)
ตัวแรกจะบอกถึงชนิดของหลอด
- 3 คือหลอด Triode
- 4 คือหลอด Tetrode
- 5 คือหลอด Pentodes
4CX8000A
3CX1500A
5CX 3000A
4CV50,000E (ระบายความร้อนด้วยไอน้ำ (Vapor cooling))
ตัวอักษร C หมายถึงโครงสร้างเป็น Ceramic/metal
ตัวอักษร X หมายถึงการระบายความร้อนด้วยอากาศ ตัว W หมายถึงระบายความร้อนด้วยน้ำ (Water)
ตัวอักษร V หมายถึงการระบายความร้อนด้วยไอน้ำ (Vapor cooling)
ตัวเลขด้านหลังเป็นจำนวนวัตต์ เช่นหลอด 4CX250 เป็นหลอด Tetrode แบบ Ceramic ระบายความร้อนด้วยอากาศ ขนาด 250 วัตต์
4CW10,000A (ระบายความร้อนด้วยน้ำ)
หลอด Tetrode
บทความ ต่อไปนี้มาจาก "หนังสือคู่มือนักวิทยุสมัคร เพื่อไปสอบ พนักงานวิทยุสมัครเล่นขั้นกลาง " แก้ไขบางส่วนเพื่อความถูกต้องโดย HS8JYX
หลอด Tetrode เป็นหลอด 4 ขั้ว หรือ 4 Electrode หลักการมาจากหลอดไตรโอด (Triode) แต่เพิ่มกริดเข้าไปอีก 1 ขั้ว กริดที่เพิ่มตั้งอยู่ชั้นนอก ระหว่างแอโนด และกริดตัวที่ 1
กริดตัวที่ 1 เรียกว่า Control grid
กริดตัวที่ 2 เรียกว่า Screen grid
เมื่อกริดที่ใส่เพิ่มขึ้น มีศักดาไฟฟ้าเป็นบวก จะมีผลทำให้อัตราการขยายเพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกันค่า อิมพิแดนซ์จะสูงขึ้นด้วย
เหตุที่ทำให้อัตราการขยายสูงขึ้นก็เพราะกระแสแอโนดในหลอด Tetrode มีความเป็นอิสระจากค่าแรงดันแอโนดน้อยกว่าหลอดไตรโอด แน่นอนว่าในวงจรขยายสัญญาณค่าแรงดันที่แอโนด จะต้องเปลี่ยนแปลงโดยเริ่มตั้งแต่ค่าความเปลี่ยนแปลงของกระแสแอโนด ซึ่งจะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลง ของแรงดันตกคร่อม ระหว่างโหลดในวงจรแอโนดของหลอดขยายสัญญาณแบบไดโอด ในหลอดไตรโอดซึ่งทำหน้าที่ขยายสัญญาณจะไม่มีข้อได้เปรียบเลย ตัวอย่างเช่น ในขณะที่กระแสแอโนดเริ่มสูงขึ้น เนื่องจากซีกบวกในครึ่งไซเคิ้ลแรกของแรงดันกริด สวิงแรงดันแอโนดจะตกเป็นจำนวนเท่ากับแรงดันที่ตกคร่อมระหว่างโหลด มีผลทำให้แรงดันแอโหลดถูกลดลง ในขณะที่กระแสแอโนดจะเพิ่มขึ้นและขณะที่แรงดันกริดสวืงกลับมาอยู่ทางซีกลบในครึ่งไซเคิ้ลหลัง กระแสแอโหนดจะลงลง ส่วนแรงดันแอโหนดจะเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ เพราะในขณะที่แรงดันแอโหนดเพิ่มกระแสแอโหลดยังไม่ลดลงต่ำ ลงตามที่ควรจะเป็นในทันที เพราะยังไม่มีอิสระจากแรงดันที่แอโหนด หมายความว่า การขยายสัญญาณแบบสมบูรณ์ ของหลอดไตรโอดไม่สามารถทำได้ การเพิ่มสกรีนกริดเข้าไปอีก 1 ขั้ว ก็เพื่อให้ทำหน้าที่ กำจัดผลกระทบที่เกิดขึ้นแก่ค่าแรงดัน และกระแส แอโหนด ซึ่งทำให้ได้อัตราการขยายที่มากขึ้น
สกรีนกริดจะทำหน้าที่ได้ดีที่สุด เมื่อแรงกันสกรีนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของค่าแรงดันแอโนด อิเล็กตรอนส่วนมากจากแคโถดจะพุ่งไปยังแอโนด แต่จะมีบางส่วนไม่ได้ถูกจับไว้โดยสกรีนกริด ฉนั้นการให้กระแสสกรีนกริด เพิ่มขึ้นจะไม่ได้รับประโยชน์เลย แต่จะกลายเป็นส่วนเกินทำให้เกิดความร้อนสูงโดยไม่มีประโยชน์แต่ประการใด
การใช้ประโยชน์ในกรณีแรงดันต่ำ ถ้าแรงดันแอโนดสวิงต่ำลงมาถึงระดับเดียวกับแรงดันของสกรีนหรือต่ำกว่า กระแสแอโหลดจะตกลงอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันค่าของแรงดันสกรีนจะสูงขึ้น เนื่องจากอิเล็กตรอนถูกปล่อยออกมาจากแอโนดไปยังสกรีนกริด การปล่อยอิเล็กตรอนในสักษณะนี้ เรียกว่า Secondary Emission ดังได้กล่าวมาแล้วในตอนต้น
หน้าที่สำคัญอีกประการหนึ่งของสกรีนกริด หรือ กริดหมายเลข 2 (G2) ก็คือลดค่าความจุ (Capacitive) ที่เกิดจากการ Coupling ระหว่างคอนโทรลกริด กับแอโนด ทำให้การขยายสัญญาณวิทยุมีเกณฑ์สูงและมีเสถียรภาพคงที่ยิ่งขึ้น
หลอด Tetrode เป็นหลอด 4 ขั้ว หรือ 4 Electrode หลักการมาจากหลอดไตรโอด (Triode) แต่เพิ่มกริดเข้าไปอีก 1 ขั้ว กริดที่เพิ่มตั้งอยู่ชั้นนอก ระหว่างแอโนด และกริดตัวที่ 1
กริดตัวที่ 1 เรียกว่า Control grid
กริดตัวที่ 2 เรียกว่า Screen grid
เมื่อกริดที่ใส่เพิ่มขึ้น มีศักดาไฟฟ้าเป็นบวก จะมีผลทำให้อัตราการขยายเพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกันค่า อิมพิแดนซ์จะสูงขึ้นด้วย
เหตุที่ทำให้อัตราการขยายสูงขึ้นก็เพราะกระแสแอโนดในหลอด Tetrode มีความเป็นอิสระจากค่าแรงดันแอโนดน้อยกว่าหลอดไตรโอด แน่นอนว่าในวงจรขยายสัญญาณค่าแรงดันที่แอโนด จะต้องเปลี่ยนแปลงโดยเริ่มตั้งแต่ค่าความเปลี่ยนแปลงของกระแสแอโนด ซึ่งจะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลง ของแรงดันตกคร่อม ระหว่างโหลดในวงจรแอโนดของหลอดขยายสัญญาณแบบไดโอด ในหลอดไตรโอดซึ่งทำหน้าที่ขยายสัญญาณจะไม่มีข้อได้เปรียบเลย ตัวอย่างเช่น ในขณะที่กระแสแอโนดเริ่มสูงขึ้น เนื่องจากซีกบวกในครึ่งไซเคิ้ลแรกของแรงดันกริด สวิงแรงดันแอโนดจะตกเป็นจำนวนเท่ากับแรงดันที่ตกคร่อมระหว่างโหลด มีผลทำให้แรงดันแอโหลดถูกลดลง ในขณะที่กระแสแอโนดจะเพิ่มขึ้นและขณะที่แรงดันกริดสวืงกลับมาอยู่ทางซีกลบในครึ่งไซเคิ้ลหลัง กระแสแอโหนดจะลงลง ส่วนแรงดันแอโหนดจะเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ เพราะในขณะที่แรงดันแอโหนดเพิ่มกระแสแอโหลดยังไม่ลดลงต่ำ ลงตามที่ควรจะเป็นในทันที เพราะยังไม่มีอิสระจากแรงดันที่แอโหนด หมายความว่า การขยายสัญญาณแบบสมบูรณ์ ของหลอดไตรโอดไม่สามารถทำได้ การเพิ่มสกรีนกริดเข้าไปอีก 1 ขั้ว ก็เพื่อให้ทำหน้าที่ กำจัดผลกระทบที่เกิดขึ้นแก่ค่าแรงดัน และกระแส แอโหนด ซึ่งทำให้ได้อัตราการขยายที่มากขึ้น
สกรีนกริดจะทำหน้าที่ได้ดีที่สุด เมื่อแรงกันสกรีนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของค่าแรงดันแอโนด อิเล็กตรอนส่วนมากจากแคโถดจะพุ่งไปยังแอโนด แต่จะมีบางส่วนไม่ได้ถูกจับไว้โดยสกรีนกริด ฉนั้นการให้กระแสสกรีนกริด เพิ่มขึ้นจะไม่ได้รับประโยชน์เลย แต่จะกลายเป็นส่วนเกินทำให้เกิดความร้อนสูงโดยไม่มีประโยชน์แต่ประการใด
การใช้ประโยชน์ในกรณีแรงดันต่ำ ถ้าแรงดันแอโนดสวิงต่ำลงมาถึงระดับเดียวกับแรงดันของสกรีนหรือต่ำกว่า กระแสแอโหลดจะตกลงอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันค่าของแรงดันสกรีนจะสูงขึ้น เนื่องจากอิเล็กตรอนถูกปล่อยออกมาจากแอโนดไปยังสกรีนกริด การปล่อยอิเล็กตรอนในสักษณะนี้ เรียกว่า Secondary Emission ดังได้กล่าวมาแล้วในตอนต้น
หน้าที่สำคัญอีกประการหนึ่งของสกรีนกริด หรือ กริดหมายเลข 2 (G2) ก็คือลดค่าความจุ (Capacitive) ที่เกิดจากการ Coupling ระหว่างคอนโทรลกริด กับแอโนด ทำให้การขยายสัญญาณวิทยุมีเกณฑ์สูงและมีเสถียรภาพคงที่ยิ่งขึ้น
การแบ่งประเภทของหลอดสูญญากาศ
บทความ ต่อไปนี้มาจาก "หนังสือคู่มือนักวิทยุสมัคร เพื่อไปสอบ พนักงานวิทยุสมัครเล่นขั้นกลาง " แก้ไขบางส่วนเพื่อความถูกต้องโดย HS8JYX
การแบ่งประเภทหของหลอดสูญญากาศ จะแบ่งต่ามจำนวนขั้ว (Electrod) ใช้งานของหลอดสูญญากาศนั้น ๆ
1. หลอดไดโอด (Diode Tube) เป็นหลอดสูญญากาศแบบง่าย ๆ ก็คือ หลอดแบบ 2 ขั้ว ประกอบด้วย
การใช้งาน ถ้าอุณหภูมิของความร้อนที่แคโถดสูงขึ้น กระแสจะเพิ่มขึ้นด้วย แต่ ณ จุดหนึ่งแม้ว่าจะเพิ่มอุณหภูมิให้สูงขึ้น กระแสจะไม่เพิ่มขึ้นอีกต่อไป จุดนี้เรียกว่าจุดอิ่มตัว หรือ Saturation Point
หลอดไดโอด มีประโยชน์หลากหลายในการทำหน้าที่เป็นหลอดเรียงกระแส (Rectifier) สำหรับแปลงไฟฟ้ากระแสสลับ (Alternating Current) เป็นไฟกระแสตรงที่มีแรงดันสูง ๆ (High Voltage)
ตารางแสดงหลอดประเภทต่าง ๆ
2 ขั้วเรียกว่า หลอด Diode
3 ขั้วเรียกว่า หลอด Triode
4 ขั้วเรียกว่า หลอด Tretode
5 ขั้วเรียกว่า หลอด Pentode
6 ขั้วเรียกว่า หลอด Hexode
7 ขั้วเรียกว่า หลอด Heptode
8 ขั้วเรียกว่า หลอด Octode
2. หลอดไตรโอด การไหลของอิเล็กตรอน จากแคโถดไปยังแอโนดจะถูกควบคุมถ้าใส่ขั้ว Electrode เพิ่มขึ้นไปอีก 1 ขั้ว ระหว่างแคโถดและแอโนด ขั้วที่ใส่เพิ่มนี้เรียกว่า "กริด" (Grid)
การไหลของอิเล็กตรอน จะเปลี่ยนไปตามค่าศักดาไฟฟ้าที่กริด ของหลอดไตรโอด ซึ่งหลอดแบบนี้จะมีขั้ว 3 ขั้วคือ
หลอดไตรโอดมีประโยชน์ ในการทำหน้าที่เป็น หลอดขยายสัญญาณ โดยกริดจะต้องมีศักดาไฟฟ้าเป็นลบ (Grid Bias)
การแบ่งประเภทหของหลอดสูญญากาศ จะแบ่งต่ามจำนวนขั้ว (Electrod) ใช้งานของหลอดสูญญากาศนั้น ๆ
1. หลอดไดโอด (Diode Tube) เป็นหลอดสูญญากาศแบบง่าย ๆ ก็คือ หลอดแบบ 2 ขั้ว ประกอบด้วย
- แคโถด เป็นพื้นผิวให้ความร้อนหรือใส้หลอด (Filament)
- เพลต หรือ แอโนด กระแสที่ไหลจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับอุณหภูมิและระยะห่างระหว่างเพลตและแอโนด
การใช้งาน ถ้าอุณหภูมิของความร้อนที่แคโถดสูงขึ้น กระแสจะเพิ่มขึ้นด้วย แต่ ณ จุดหนึ่งแม้ว่าจะเพิ่มอุณหภูมิให้สูงขึ้น กระแสจะไม่เพิ่มขึ้นอีกต่อไป จุดนี้เรียกว่าจุดอิ่มตัว หรือ Saturation Point
หลอดไดโอด มีประโยชน์หลากหลายในการทำหน้าที่เป็นหลอดเรียงกระแส (Rectifier) สำหรับแปลงไฟฟ้ากระแสสลับ (Alternating Current) เป็นไฟกระแสตรงที่มีแรงดันสูง ๆ (High Voltage)
ตารางแสดงหลอดประเภทต่าง ๆ
2 ขั้วเรียกว่า หลอด Diode
3 ขั้วเรียกว่า หลอด Triode
4 ขั้วเรียกว่า หลอด Tretode
5 ขั้วเรียกว่า หลอด Pentode
6 ขั้วเรียกว่า หลอด Hexode
7 ขั้วเรียกว่า หลอด Heptode
8 ขั้วเรียกว่า หลอด Octode
2. หลอดไตรโอด การไหลของอิเล็กตรอน จากแคโถดไปยังแอโนดจะถูกควบคุมถ้าใส่ขั้ว Electrode เพิ่มขึ้นไปอีก 1 ขั้ว ระหว่างแคโถดและแอโนด ขั้วที่ใส่เพิ่มนี้เรียกว่า "กริด" (Grid)
การไหลของอิเล็กตรอน จะเปลี่ยนไปตามค่าศักดาไฟฟ้าที่กริด ของหลอดไตรโอด ซึ่งหลอดแบบนี้จะมีขั้ว 3 ขั้วคือ
- คาโถด
- กริด
- เพลต หรือ แอโนด
หลอดไตรโอดมีประโยชน์ ในการทำหน้าที่เป็น หลอดขยายสัญญาณ โดยกริดจะต้องมีศักดาไฟฟ้าเป็นลบ (Grid Bias)
การแบ่งประเภทของหลอดสูญญากาศ
บทความ ต่อไปนี้มาจาก "หนังสือคู่มือนักวิทยุสมัคร เพื่อไปสอบ พนักงานวิทยุสมัครเล่นขั้นกลาง " แก้ไขบางส่วนเพื่อความถูกต้องโดย HS8JYX
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)